1. กระดาษสีน้ำ
ความงามของภาพสีน้ำจะเกิดขึ้นบนกระดาษที่มีคุณภาพ
โดยทั่วไปแล้วกระดาษสำหรับเขียนภาพสีน้ำ
จะมีลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งสองลักษณะจะช่วยให้ภาพมีความคงทนถาวร
อย่างแรกผลิตจากฝ้ายและ
อีกอย่างผลิตจากเส้นใยไม้ตามกระบวนการทางเคมี
กระดาษสีน้ำจากฝ้าย
กระดาษชนิดนี้มีสามลักษณะพื้นผิว
ชนิดหยาบ (Rough) กระดาษผิวหยาบจะผลิตจากเครื่องจักรที่มีแผ่นผ้าขนสัตว์กดทับ
ใช้แรงอัด
ในขณะที่ยังเปียกชื้น ชนิดผิวหยาบจะให้พื้นผิวดีเยี่ยม สำหรับการระบายสีน้ำที่ต้องการให้เนื้อสีฝังอยู่
บนริ้วรอยของกระดาษ
เป็นที่นิยมสำหรับการระบายในลักษณะแสดงออกอย่างอิสระ
ชนิดอัดเย็น (Cool
Pressed)เป็นกระดาษชนิดที่ต่างไปจากการอัดร้อน ผลิตจากกระดาษผิวหยาบ
นำมาอัดโดยไม่ใช้ผ้าขนสัตว์รองพื้น มีพื้นผิวหยาบปานกลาง
เป็นที่นิยมสำหรับการระบายที่สร้างพื้นผิว
ให้สวยงาม
ชนิดอัดร้อน (Hot
Pressed) กระดาษชนิดอัดร้อน เป็นกระดาษผิวเรียบ
ที่เกิดจากลูกโม่อัดร้อน
นิยมใช้สำหรับการเขียนภาพที่เก็บรายละเอียด เขียนภาพประกอบ
และสำหรับนักออกแบบที่ทำงานเพื่อ
เป็นต้นแบบสิ่งพิมพ์
กระดาษสีน้ำจากเส้นใยไม้
กระดาษสีน้ำราคาประหยัดผลิตจากเส้นใยไม้ตามกระบวนการทางเคมี
กระดาษชนิดนี้ผลิตเพียงชนิด
อัดเย็น กระดาษชนิดนี้ราคาไม่แพง เช่น กระดาษสีน้ำคอทแมน
ปราศจากกรดเคลือบผิวพิเศษ และเป็นกระดาษที่ปราศจากกรด
กระดาษสีน้ำจะต้องไม่มีกรด เพราะในระยะยาวแล้วต้องมั่นใจได้ว่า
กระดาษจะคงสภาพเดิมไม่ออก
สีเหลืองไม่กรอบ
ข้อสำคัญคือต้องเป็นกระดาษที่ปราศจากกรดและเคลือบผิวตามกระบวนการธรรมชาติ
การเคลือบผิวด้วยเยลาติน
กระดาษสีน้ำสำหรับศิลปิน นอกจากจะผสมเยลาตินในเนื้อกระดาษแล้ว
ยังเคลือบผิวด้วยเยลาตินอีก
ด้วย เป็นเยลาตินที่สามารถดูดซับได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ช่วยทำให้สีบนพื้นผิวสดใสขึ้น ช่วยให้การ
ซับสีง่ายขึ้น และกันไม่ให้พื้นผิวเสียหายได้ง่ายเมื่อใช้
มาสกิงฟลูอิด
สีกระดาษ
ปกติสีของกระดาษสีน้ำจะเป็นสีขาว
เพื่อให้แสดงสะท้อนผ่านพื้นภาพได้อย่างดีที่สุดช่วยให้สีน้ำมีีประกายแสงมากขึ้น
บางคนชอบกระดาษสีหม่นเพื่อช่วยให้พื้นภาพมีสีกลมกลืนกัน (มีสีขาวและ ครีม
เป็นส่วนใหญ่ )
น้ำหนักกระดาษ
ตามปกติแล้ว กระดาษสีน้ำจะมีอยู่สามน้ำหนัก คือ ขนาด 90 ปอนด์ (190 แกรม ) 140 ปอนด์(300
แกรม ) และ 300 ปอนด์ (640
แกรม ) กระดาษยิ่งหนักขึ้น
การระบายสีน้ำแล้วเกิดคลื่นก็จะน้อยลง
พร้อมกันนั้นราคาก็จะแพงขึ้นด้วย กระดาษน้ำหนัก 140 ปอนด์ (300 แกรม ) เป็นที่นิยมมากที่สุด และ
ไม่ต้องขึงกระดาษสำหรับการระบายสีน้ำที่ใช้ปริมาณน้ำอย่างปกติ
การใช้ด้านกระดาษที่ถูกต้อง
ด้านของกระดาษที่ถูกต้องคือด้านที่สามารถอ่านหนังสือลายน้ำได้
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งก็สามารถ
ใช้งานได้เช่นกัน
ด้านหลังของกระดาษสีน้ำชนิดหยาบและชนิดอัดเย็นจะมีลักษณะเรียบมากกว่าด้านหน้า
ถ้าใครชอบระบายภาพบนด้านหลังกระดาษ
ก็ควรหลีกเลี่ยงการระบายบริเวณลายน้ำ เพราะจะปรากฏเป็น รอยตัวหนังสือกลับด้าน
การขึงกระดาษ
การขึงกระดาษสีน้ำ เป็นการรักษาสภาพความราบเรียบของพื้นภาพ เมื่อระบายสีน้ำให้เปียกชื้นมาก
ควรขึงกระดาษทุกน้ำหนัก
เมื่อขึงแล้วก็สามารถจะระบายให้เปียกชุ่มอย่างไรก็ได้ การขึงกระดาษจะต้อง
ทำให้กระดาษเปียกชื้นเสียก่อน เพื่อขยายเส้นใยของกระดาษ
หลังจากนั้นจึงติดกระดาษให้รอบด้าน
มีหลักในการทำดังนี้
• จุ่มกระดาษให้เปียกทั่วถึงกระดาษ 90 ปอนด์แช่น้ำ 3
นาที 14 ปอนด์ 8 นาที
และ 300 ปอนด์ 20
นาที (โดยประมาณ)
• ซับน้ำให้หมาดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้วยกระดาษบรู๊ฟ
• ถ้าใช้แผ่นรองเขียนเป็นไม้อัด ควรทาแลคเกอร์เคลือบเสียก่อน
หรืออาจใช้กระดาษบรู๊ฟสะอาดรองพื้น
• ใช้กระดาษกาวชนิดทาน้ำ ( ไม่ใช่เทปย่น ) ผนึกติดทุกด้าน
โดยเริ่มต้นทีละด้าน
• วางแผ่นรองบนพื้นราบและปล่อยไว้ให้แห้งด้วยลม ไม่ควรนำไปตากแดด
กระดาษสีน้ำชนิดผนึกเป็นปึก (เล่ม)
กระดาษสีน้ำชนิดผนึกเป็นปึก เป็นกระดาษสีน้ำที่ผนึกรวมอยู่ด้วยกันโดยการทากาวติดไว้ที่ด้านข้าง
เว้นไว้เพียงเล็กน้อยด้านใดด้านหนึ่ง สำหรับใช้เกรียงระบายสีสอดเข้าไปเพื่อแยกกระดาษออกจากปึก
กระดาษลักษณะนี้เหมาะสำหรับการนำออกไปเขียนข้างนอก
โดยไม่ต้องขึงกระดาษ ไม่ต้องหอบแผ่น
รองที่มีน้ำหนักมากออกไป
และไม่ต้องกังวลเมื่อข้างนอกมีลมพัดแรง
กระดาษ
ในบรรดาอุปกรณ์ทั้งหมดของการเขียนสีน้ำ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “ กระดาษ ” กระดาษสีน้ำที่ดีจะมีส่วน
ผสมของฝ้ายถึง 100% เส้นใยที่ฟอกขาวแล้วจะถูกทำให้เหลว
แล้วจัดการทำให้เป็นแผ่นๆ ด้วยกรรมวิธี
ต่างๆ ของผู้ผลิตกระดาษสีน้ำแทบจะทุกชนิดจะมีผิวอยู่ 3 แบบ คือ เรียบ กลางๆและหยาบและจะมีความ หนาต่างๆ กัน
อีกทั้งมีหลากหลายยี่ห้อ อาทิ
D Arches ผลิตด้วยมือ ของฝรั่งเศส
Crisbrook ผลิตด้วยมือ ของอังกฤษ
Fabriano ผลิตด้วยเบ้า ของอิตาลี
Strathmore ผลิตด้วยเครื่องจักร
ของอเมริกา
Capri ของอิตาลี
R.W.S. ผลิตด้วยมือของอังกฤษ (Roy Watercolor Society
2. สี
ผลิตภัณฑ์สีน้ำ นั้นแบ่งเป็นเกรด
ทั่วๆไปก็จะเป็น เกรดนักศึกษา ที่มีราคาถูก
แต่คุณภาพจะไม่ดีเท่ากับเกรดศิลปิน ที่ราคาแพงกว่า
ถ้าเป็นสีน้ำเกรดศิลปินนั้นจะมีตัวผงสี (pigment) เยอะกว่า และจะมีเฉดสีให้เลือกมากกว่า
การเลือกซื้อสี
สิ่งแรกที่ควรดูเวลาเลือกซื้อสีก็คือดูชนิดของผงสีครับ
เพราะสีต่างยี่ห้อกันอาจจะตั้งชื่อไม่เหมือนกัน เราสามารถดูได้เบื้องต้นจาก Color
Index (เช่น PY35, PR127) ครับ
เวลาเลือกซื้อสี เราควรจะเลือกสีที่มีผงสีเดี่ยวๆ ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดความผิดพลาดมากเวลาผสมสี
เพราะผงสีบางชนิดจะทำ
ปฏิกริยากันแตกต่างกันไปครับ
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวลาเราผสมสีแล้วสีออกมาขุ่นๆ หรือที่เรียกว่า mud
นั่นเองครับ
จุดเด่นของสีน้ำที่ใครๆหลายคนชื่นชอบนั่นก็คือ
ความใส นั่นเอง ซึ่งคุณสมบัติจะทำ
ให้เราสามารถทาสีน้ำทับๆกันแล้วเกิดมาเป็นสีใหม่ได้
(Glazing)
เวลาเลือกสีก็ลองสังเกตดูว่าสีนี้มัน transparent (ใส) หรือว่า opaque (ขุ่น) บางยี่ห้ออาจจะมี semi-transparent
(กึ่งใส) ด้วย
มันจะมีสีอีกประเภทนึงเรียกว่า
Gouache
มีคุณสมบัติคล้ายๆสีน้ำ แต่จะมีความขุ่นมากเหมือนสี โปสเตอร์
เราสามารถเอามาใช้แทนสีน้ำแบบขุ่นบางสีเช่นสีขาวหรือสีดำได้
3. พู่กัน
พู่กันสีน้ำนั้นมีผลต่อการลงสีภาพอย่างมาก
เนื่องจากความใสของสีน้ำ ไม่ใช่แบบสีน้ำมันที่ลงสีผิดก็ทาทับได้ตลอด
ถ้าพู่กันเสียรูปทรงไปบ้างก็ไม่มีผลอะไร ตรงกันข้าม ถ้าใช้พู่กันที่ไม่ดี
งานสีน้ำก็จะออกมาไม่สวย และงานสีน้ำก็มีความอ่อนไหว
และกระดาษหรือสีที่ดีก็ไม่สามารถเซฟงานเอาไว้ได้ถ้าใช้หัวพู่กันที่พู่กันที่ไม่ได้รูปหรือเสียแล้วได้
วิธีนี้รวมไปถึงการจับพู่กันกลมเอียง 45 องศากับพื้นผิวที่เราทำงานอยู่
และค่อยๆหมุนแปรงช้าๆโดยที่หัวพู่กันจรดอยู่ที่พื้นกระดาษและวาดเส้นให้ออกมาสม่ำเสมอ
ซึ่งสำหรับบางคนฝึกเทคนิคมานานมาก ทั้งที่จริงๆแล้วการที่มีหัวพู่กันดีๆ
จับตั้งฉากกับพื้นผิว สามารถทำเทคนิคนี้ได้ง่ายๆ
มีความแตกต่างในหัวพู่กันสีน้ำ
นอกเหนือไปจากคุณภาพและแบรนด์บนด้ามจับพู่กัน
ซึ่งหัวพู่กันที่มีรูปร่างต่างกันจะให้สไตล์ที่แตกต่างกันไปด้วย
พู่กันหัวกลมดูธรรมดามากๆสำหรับการลงสีน้ำและมีขายทั่วไป อย่างเช่น
หัวพู่กันกลมสไตล์อังกฤษ แม้ว่าสไตล์อังกฤษจะไม่เป็นที่นิยมเท่าสไตล์ของอเมริกาเหนือ
คนที่ลงรายละเอียดมากๆหรือวาดเส้นต่างก็ต้องการหัวพู่กันที่แตกต่างกัน
4.จานสี
สำหรับจานสีของสีน้ำนั้น
น้องควรเลือกแบบที่เป็นตลับสี่เหลี่ยมค่ะ ยี่ห้อไหนก็ได้ไม่ต่างกันมาก
เลือกที่มีช่องใส่สีเยอะๆ และหลุมไม่ตื้นไปค่ะ เพราะว่าเราจะต้องบีบสีใส่จานสีให้มีปริมาณสีประมาณนึง
(จริงๆคือบีบให้เกือบเต็มก็ได้) และเวลาน้องระบายสีน้ำ น้องควรมีพู่กันราคาถูกๆ
ประมาณเบอร์ 6 สักอันหนึ่งเอาไว้จิ้มสีและผสมสีค่ะ
แล้วก็ค่อยใช้พู่กันขนสัตว์ระบาย เพราะถ้าน้้องเอาพู่กันขนสัตว์มาขยี้สี
มันจะทำให้พู่กันเจ๊งเร็ว
5.ที่ใส่น้ำ
ถ้าประหยัดก็เอาขวดน้ำที่เราซื้อมากินตามเซเว่นมาตัดครึ่งก็ใช้ได้แล้วค่ะ
แต่ถ้าอยากได้แบบดีๆหน่อย
ลองดูตามแผนกเครื่องเขียนในห้างหรือร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียนร้านใหญ่ๆดู
มันจะมีถังใส่น้ำ แบบที่สามารถยืดหดได้ พกสะดวก แต่ที่พี่ชอบใช้คือ
ที่ใส่น้ำแบบสามตอนของซากุระค่ะ ซึ่งแบบนี้มันจะมีที่ใส่น้ำสามอันด้วยกัน
ซึ่งเราสามารถแยกว่าใส่น้ำล้างพู่กัน หรือผสมสี
ซึ่งเราควรแยกระหว่างถังใส่น้ำระบายสี กับล้างพู่กันออกจากกันค่ะ
ไม่งั้นสีจะเน่าได้
6. กระดานรองวาดและนิตโต้
อันนี้ก็สามารถหาซื้อได้ง่ายตามแผนกเครื่องเขียนห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆค่ะ
ส่วนขนาดนี่ โดยส่วนมากนักวาดการ์ตูนจะไม่ได้ใช้ขนาดใหญ่มากๆอยู่แล้วค่ะ ประมาณ a4
ถ้าเรารู้ตัวว่าเราไม่ได้วาดรูปที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ๆขนาดนั้นเราก็ควรจะลดขนาดของกระดานลงหน่อยค่ะ
ทำให้มันไม่เกะกะเวลาที่เราวาด
ส่วนเทปที่ใช้ในการแปะภาพ
ถ้าเป็นการวาดสีน้ำทั่วๆไปตามสถาบันศิลปะหรือคู่มือวาดสีน้ำทั่วไป
เขาจะแนะนำให้ใช้กระดาษกาวน้ำที่เป็นสีน้ำตาลเพื่อขึงกระดาษไว้ให้ตึงๆ
แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับงานการ์ตูนค่ะ
เพราะว่าทำแบบนั้นเราต้องเตรียมกระดานไว้ล่วงหน้า
เวลาใช้ไม่ค่อยสะดวกเราจึงชอบนิตโต้ในการขึงกระดาษมากกว่าค่ะทั้งนี้
นิตโต้เมื่อเราขึงไปแล้วมันสามารถดึงออกโดยที่ไม่ทำลายภาพต้นฉบับค่ะ
เราสามารถนำมาใช้ใหม่ได้หลายๆรอบจนกว่ามันจะหายเหนียว
8.อุปกรณ์ที่ใช้ทำเทคนิคอื่นๆ
ก็คืออุปกรณ์ที่ใช้ทำเทคนิคพิเศษต่างๆนั่นเองค่ะ
ส่วนที่ต้องมีเลยก็
ฟองน้ำ
ฟองน้ำนั้น
สามารถนำมาทำ texture ของภาพได้ค่ะ
คือจะเป็นการเอาฟองน้ำไปจุ่มสีแล้วก็ปั๊มออกมาให้เป็นลาย
ส่วนวิธีการเลือกฟองน้ำนั้น น้องๆควรเลือกแบบที่เป็นฟองน้ำธรรมชาติ
ลองหาดูตามพวกหมวดอุปกรณ์อาบน้ำในห้างสรรพสินค้าค่ะ หรือฟองน้ำ ควรเป็นฟองน้ำที่มี
texture พอสมควร เราสามารถใช้ฟองน้ำ
มาทำเป็นพวกพุ่มไม้หรือลายต่างๆได้